วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศัพท์โอตาคุ

* Anime - (อนิเมะ)

ย่อมาจากอนิเมชั่น หมายถึงภาพเคลื่อนไหว ถ้าเป็นประเทศอเมริกาจะใช้คำว่า Cartoon

* OVA - (โอวีเอ)

Original Video Animation เป็นพวก Anime ที่ไม่ฉายทาง TV แต่ทำ VCD / DVD ขายเลย

* Manga - (มังหงะ)

หมายถึงหนังสือการ์ตูน ถ้าเป็นประเทศอเมริกาจะใช้คำว่า Comic

* Doujin , Doujinshi - (โดจินชิ)

ของ ทำมือ เช่นการ์ตูนทำมือ ซอร์ฟเกมส์สร้างเอง พวงกุญแจ ฯลฯ แต่มักใช้หมายถึงการ์ตูนทำมือ โดจินพวกนี้มักจะมีราคาแพงเพราะทำออกมาจำกัด มีหน้าปกและกระดาษอย่างดีถ้าพวกที่ซีร็อกซ์เอาจะถูกหน่อย แต่จำนวนหน้าและลายเส้นไม่ได้ดีกว่าพวกการ์ตูนเล่มละ 40 เลย หลังๆถ้าพูดถึงโดจินมักจะถูกเหมารวมว่าเป็นการ์ตูนโป๊(*ปี๊บ !*-Doujin) ซะมากกว่า

* Figure - (ฟิกเกอร์)

โมเดลลงสีสำเร็จราคาแพงขนาดใหญ่ ส่วนมากราคาตกประมาณ 1500 บาทขึ้นไป

* Kachapong - ( กาจาปอง )

มา จากคำว่า "กาจ๊าง เสียงตอนโมเดลบรรจุไข่ตกลงมา " เป็นฟิกเกอร์ลงสีสำเร็จบรรจุไข่ ราคาถูกกว่าฟิกเกอร์ประเภทข้างบนมาก ตกลูกละ 80 บาท มีเป็นชุดชุดละประมาณ 5-6 ตัวบางชุดจะมีตัวลับซ่อนอยู่ด้วย

* Cosplay - (คอสเพลย์)

ย่อมาจากคำว่า Costume Playing หมายถึงการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครหรือตัวการ์ตูนต่างๆที่ชื่นชอบการคอสเพลย์โดยการห้
อยผ้า ขนหนูสีเหลืองบริเวณลำคอ หรือถือดาบที่ทำเองอย่างเดียวเดินร่อนรอบงาน ถือว่าเป็นปมด้อยของผู้คอสนั้นๆ (ความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ) - ทุนน้อย ,ไม่กล้า - อ่อน

* Layer - (เลเยอร์)

ย่อมากจาก Cosplayer แปลว่านักคอสเพลย์ จะคอยไปคอสเพลย์ตามงานการ์ตูนเพื่อให้คนอื่นจำได้ (ครั้งสองครั้งจึงไม่นับว่าเป็น Layer) ส่วนใหญ่เป็นพวกฐานะดีบ้านมีอันจะกิน เพราะชุดคอสราคาแต่ละชุดส่วนมาก 1000 บาทขึ้นไปและไม่ค่อยซ้ำในแต่ละงาน

* Idol - (ไอดอล)

คำแสดงยศชั้นสูงของเลเยอร์ เมื่อคอสเพลย์หลายๆครั้งเข้าจนคนจำได้และ + กับมีหน้าตาดีกว่าปกติ จะได้เลื่อนยศมาเป็น Idol ได้

* Gardian - (การ์เดี้ยน)

องครักษ์ พิทักษ์ไอดอล มีทั้งแบบร้องขอและแบบไม่ร้องขอ โดยอย่างหลังส่วนมากเป็นพวกโอตาคุชายโรคจิต ที่ชื่นชอบเป็นแฟนคลับของไอดอลคนนั้นๆ

* Coslover - (คอสเลิฟเวอร์)

มี ความหมายเหมือนเลเยอร์ทุกอย่าง แต่จะใช้กับพวกหน้าตาไม่ดี บางทีหน้าตาบางคนอาจจะเหมือนแรงงานอพยพแต่อยากแต่งคอสเป็นพระเอกนางเอกของ เรื่องที่ต
ัวเองชื่นชอบ

* Pramool Webboard - (ประมูลเว็บบอร์ด)

แหล่ง พูดคุย(สื่อสาร)อีกแหล่งของโอตาคุ เป็นลักษณะค่อนข้างสาธารณะ โดยแบ่งเป็นห้องๆให้คนมาตั้งหัวข้อเรื่องต่างๆ เพื่อมาพูดคุย แสดงความคิดเห็น รวมทั้งทะเลาะระหว่างสมาชิกบอร์ดด้วยกัน

* Fansub - (แฟนซับ)

การ์ตูนแปล , สิ่งผิดกฏหมายที่ทำให้ถูกต้องโดยการเอามาเผยแพร่ในประเทศที่ไม่มีลิขสิทธิ์

* License - (ไลเซ่น)

ลิขสิทธิ์ , คำศัพท์ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยเจ้าของจะสามารถทำกับมันอย่างไรก็ได้

* Pirate - (ไพเรท)

ของไม่มีลิขสิทธิ์ ของขโมยมา ถ้าเป็นหนังสือการ์ตูนหน้าปกมักจะยั่วยุกามรมณ์แต่ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง

* Spoiler - (สปอยล์เลอร์ หรือ สปอยล์)

การเล่าเรื่อง การเล่าฉากสำคัญๆ ก่อนที่จะรู้

* VCD -

สื่อ รูปแบบหนึ่งที่นำออกมาขายเพื่อทดลองว่าจะทำออกมาเป็น DVD ดีหรือเปล่า , สื่อราคาถูกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการการ์ตูนโดยไม่ใส่ใจการพากย์และคุณภาพมาก นัก

* DVD -

สื่อรูปแบบหนึ่งที่โอตาคุยอมเสียเงินมากกว่า 3 เท่าของ VCD เพื่อเอาเสียงพากย์ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าคุณภาพของภาพและเสียงย่อมดีกว่า VCD เช่นกัน

* Censored(เซ็นเซอร์) -

การปิดบังซ่อนเร้น เหยื่อที่โดนมักเป็นหนังสือและVCDการ์ตูน

* Shonen - (โชเน็น)

การ์ตูนผู้ชายทั่วๆไป

* Shojo - (โชโจ)

การ์ตูนผู้หญิงทั่วๆไป

* E--- Ecchi - (เอ็ตจิ)

ลามกเล็กๆ ทะลึ่งหน่อยๆ

* Holy -

ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ย่อแนวของการ์ตูนประเภทต่างๆ หลักๆคือ 4 ตัวนี้ ( 4 ธาตุหลักสายพลัง)

* *ปี๊บ !*--- (*ปี๊บ !*) - (เฮ็นไท)

โรค จิต , ลามก ใช้เติมสรรพนามเพื่อเพิ่มความหมายคำว่าโป๊ เช่น *ปี๊บ !*-Doujin (โดจินโป๊) , *ปี๊บ !*-Anime (การ์ตูนโป๊) , *ปี๊บ !*-Game (เกมส์โป๊) ฯลฯ

* Ren-Ai - (เรนไอ)

เกมส์จีบสาว, *ปี๊บ !*-เกมส์ แม้จะผิดกฏหมายแต่โอตาคุชายก็เต็มใจที่จะหามาในครอบครอง และหาเหตุผลอันชอบธรรมในการเสพ

* O--- (Obacon) - (โอบาคอน)

ผู้ที่ชอบคนที่มีอายุมากกว่า , นมโต --- Ojicon (โอจิคอน) ผู้ที่ชอบชายแก่ ตรงข้ามกะ Shotacon

* L--- (Lolicon) - (โลลิคอน)

ชอบ เด็กหญิง ถ้าอายุจัดอยู่ในเกณฑ์โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ให้จัดอยู่ในหมวดนี้ (แต่ก็มีคนจัดเกณฑ์ว่า จะอยู่ที่อายุ10 - 14 ปี หรือ หญิงสาวที่มีความสูงไม่เกิน 150 - 155 ซ.ม. รูปร่างขนาดไม่เกี่ยวขอให้น่ารัก )

* Shotacon - (โชตะคอน)

ชอบเด็กชาย ถ้าอายุจัดอยู่ในเกณฑ์โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ให้จัดอยู่ในหมวดนี้เช่นกัน

* Y - รักร่วมเพศ แบ่งออกมาอีก 2 ประเภทคือ
Y --- Yaoi (ยาโอย) กลุ่มสงวนพันธุ์ป่าไม้(เดียวกัน) ง่ายๆชอบพวกชอบเพศเดียวกันชาย แบ่งสายได้ 2 สายคือ
Seme YAOI [เซเมะ y สายรุก] ชอบเข้าทางข้างหลัง
Uke YAOI [อุเคะ y สายรับ] ชอบถูกกระทำทางด้านหลัง
Shonen-ai (โชเน็นไอ) ความรักบริสุทธิ์ระหว่างชายกะชาย [ไม่ติดเรท] - จัดอยู่ในสายขาวนะ
Y --- Yuri (ยูริ) สมาคมอนุรักษ์ดนตรีไทย ง่ายๆชอบพวกชอบเพศเดียวกันหญิง แบ่งได้ 2 สายเช่นกัน
Seme YURI [เซเมะ y สายรุก] ชอบแสดงตัวเป็นชาย
Uke YURI [อุเคะ y สายรับ] ชอบถูกกระทำกับเพศเดียวกัน
Shojo-ai (โชโจไอ) ความรักบริสุทธิ์ระหว่างหญิงกะหญิง [ไม่ติดเรท] - จัดอยู่ในสายขาวเช่นกัน

แม้จะผิดกฏหมายแต่โอตาคุหญิงก็เต็มใจที่จะหามาในครอบครอง และหาเหตุผลอันชอบธรรมในการเสพ

* JIN - (จิ้น)

มา จากคำว่า Imagine(อิเมจิ้น) แปลว่าจินตนาการ ใช้กับวงการ Y โดยผู้ใช้สามารถจิ้นให้ตัวละครนึงไปมีอะไรกับตัวละครเพศเดียวกันทั้งๆที่ เนื้อเรื่อง
หลักจะไม่ได้มีอะไรกันเลยได้

* Sport -

สาย นี้ค่อนข้างจะบ้าพลังเอามันทุกอย่าง [ข้าน้อย]จะเล่นกีฬาทุกประเภท ซ้ำยังมีท่าไม้ตายเวลาจะเล่นอีก เอาก๊ะมันดิ เคยมีเพื่อนคนนึงมันทดลองจะเตะลูกจากครึ่งสนามไปที่โกลตามแบบซึบาสะ มันบ้า - คำเตือนเวลาเล่นกีฬากะพวกนี้กรุณาเอาที่อุดหูมาด้วย เพราะเสียงดังน่ารำคาญยิ่งนัก

* Harem - (ฮาเร็ม)

สายนี้จะเป็นพวกชอบอยู่ห้อมล้อมด้วยสาวๆสวยน่ารักมากมายแถมด้วยทุกคนมารุมรักอีก - เช่น เนกิมะ

* SM --- Sadism&masokism -

กลุ่มคนที่นิยมใช้ โซ่ เทียน แส้ กุญแจมือ ม้าไม้ โดย Sadism คือผ่ายชอบทำร้ายผู้อื่น และ Masokism คือฝ่ายที่ชอบถูกทำร้าย

* Maho - (มาโฮะ)

กลุ่มคนที่ชอบสาวน้อยเวทมนต์ - อันนี้แน่นอนโดเรมี และ นาโนะฮะ (ซึ่งมิได้หมายถึงโดเรมี่จากเรื่องโดเรม่อนแต่อย่างใด)

* Robot - (โรบอท)

กลุ่ม คนที่บ้าความเป็นเครื่องจักรกลอย่างเข้าไส้ ซึ่งสามารถที่จะบอกรุ่นความสามารถสรรถนะของหุ่นทุกตัวในโลกออกมาได้ ซึ่งสายนี้ค่อนข้างแยกได้ชัดโดยมี กันดั้ม เป็นผู้นำลัทธิ รองลงมาคือ เอวังเกย์เหลี่ยม - เรียกอีกอย่างว่า Mecha (หุ่นยนต์)

* Computer - พวกชอบแนวคอมพิวเตอร์ที่คล้ายๆกับมนุษย์ (ตูก็ชอบ) อาจเป็นหนุ่มสาวหน้าตาดีด้วย มีทั้งเป็นโปรแกรม และเป็นตัวเป็นตนในโลกความจริง - เช่น Chobits และ AI รัก (ดูเหมือนคอมชายจะไม่ค่อยมี)

* Raider หรือ Masked Raider หรือ Kamen Raider- (ไรเดอร์ หรือ มาสก์ ไรเดอร์ หรือ คาเมน ไรเดอร์)

สายนี้ค่อนข้างแยกตัวออกเป็นเอกเทศจากสายอื่นเนื่องจากภูมิใจในประวัติอันยาวนานของต
นเอง เเละพัฒนาการที่ก้าวหน้าจากฮีโร่ไร้สาระกลายเป็นฮีโร่เพื่อชีวิต-สร้างสรรค์ สังคม-เน้นความรัก และเลิกกระโดดถีบโดยหันมาใช้ดาบและปืน มือถือ ติดการ์ดในการต่อสู้เเทน โดยที่ยังคงอยู่คือท่าแปลงร่างที่คนในสายนี้จะจำได้หมดไม่ว่ามันจะออกมากี่ ตัวต่อกี่
ตัวก้อเถอะ - ช่วงหลังๆออกมาเยอะถึงขนาดตั้งทีมฟุตบอลได้ทีเดียวเชียว

* Ranger - (เรนเจอร์)

สาย เพื่อนสนิท - นี้ถ้าไม่รักกันจริงคงอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนที่อยู่สายนี้จะไม่พยายามที่จะอยู่ตัวคนเดียวเป็นอันขาดและจะทำการจับ กลุ่ม 3 -5 คนเข้าไว้โดยมีการกำหนดสีกันอย่างชัดเจน โดยอ้างว่าเวลาอยู่คนเดียวไม่สามารถเรียกหุ่นยนต์ออกมาได้ ซึ่งหากรวมๆกับไรเดอร์แล้ว ก็จะถูกเรียกว่า Live Action Hero

* Maid - (เมด)

กลุ่ม คนที่ชอบชุดสาวใช้ สาวเสิร์ฟ ชุดเมด อะไรก็ได้ที่มีผ้ากันเปื้อน หรืออาจจะมีแต่ผ้ากันเปื้อนก็ได้ ชุดส่วนใหญ่เอามาจากยุคอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18-19

* Miko - (มิโกะ)

กลุ่ม อนุรักษ์นิยมที่ชอบสตรีในชุดขาวแดง (มิโกะ เป็น ผู้รับใช้พระเจ้าเป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้า) บางครั้งมีการเพี้ยนออกไปในรูปแบบของชุดนักบวชในศาสนาอื่นก้อมีอยู่บ้าง ประปราย เช่น ชีเปลือย

* Chounyou - (โชเนียว)

พวกนิยม ผู้หญิงโนตมๆ โนตมจริงๆนะ ไม่เห็นกับตาไม่รู้หรอก - -" มักอยู่ควบคู่กับ *ปี๊บ !* บางทีอาจจะเห็นว่ามีการวาด fanart แนว C ตามเว็บ *ปี๊บ !* (ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้ว) เตือนไว้ก่อนเลยว่าโนมันไม่ตมธรรมดา

* Megane - (เมก้าเนะ)

สมาคมที่มีอยู่เพิ่มไม่ให้ แว่นตา หายไปจากโลกนี้ (พวกชอบหนุ่มสาวที่ใส่แว่น) และรังเกียจคอนแทคท์เลนส์ยิ่งนัก

* Megami - (เมก้ามิ หรือ เมงามิ ล่ะมั้ง)

พวกชอบเทพธิดา นางฟ้า ชาวสวรรค์ อะไรเทือกนี้

* Psycho - (ไซโค)

ความ หมายตรงตัวหมายถึงพวกที่โรคจิตๆเล็กน้อยถึงปานกลาง คาแรคเตอร์พวกนี้อาจไม่พบเห็นได้มากนัก ยกตัวอย่างที่ดังๆก็เช่น L แห่งเดธโน๊ต เขาคนนี้ก็ติดเชื้อ P เหมือนกัน

* Tentacle - (เทนตาเคิล)

ผู้ที่ชอบพวกประเภทหนวดๆ สิ่งที่เป็นเส้นๆ ทั้งหลายแหล่

* Kemono - (เคโมโนะ หรือ เคโมะ)

คนที่ชอบ พวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือ สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคนมากกว่าสัตว์ ยืนได้ พูดได้ เป็นต้น

* Mimi - (มิมิ) พวกคลั่งหู จะรวมๆใน พวกหูแมว หมา กา ไก่ (เฮ้ยๆ)
Nekomimi (เนโกะมิมิ) กลุ่มคนที่คลั่งไคล้ หูแมว และหางแมว
Inumimi (อินุมิมิ) คล้ายๆกับ Nekomimi แต่จะเป็น หูหมาหางหมาแทน - ใครชอบอินุยาฉะรู้ตัวซะว่า....
* Animal - (แอนนิมอล)

ตรงตัวเลย สายสัตว์เห็นๆ มีมากจนแทบล้นในเรื่อง วันพืซ

* Gothic - (โกธิค หรือ โคถึก)

พวกนิยมชุดสาวน้อยคุณหนูไฮโซ ประมาณยุคอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18-19 เช่นกัน มีโบว์และพู่ฟ่องๆเยอะๆ

* Change - (เชนจ์)

พวกที่ชอบในด้านการแปลงเพศ สลับเพศ (แต่อาจจะหมายถึงพวกชอบแปลงร่างก็ได้) - เช่น รันม่า1/2 อุลตร้าแมน

* Kinniku - (คินนิคุ)

พวก ที่ชอบจนถึงคลั่งไคล้ในมนุยษ์จำพวกที่มีกล้ามใหญ่ๆ - เช่น เคนชิโร่ บากิ คินนิคุแมน ดราก้อนบอล - (โดยส่วนใหญ่ โอตาคุจะเกลียดแนวนี้มาก แต่ไม่มีผลอะไรกับเกรียน)

* Incest - (อินเซสต์)

รักต้องห้าม รักระหว่างสายเลือด (พ่อลูก แม่ลูก พี่น้อง)

* Siscon - (ซิสคอน)

พวกบ้าพี่ชายน้องสาว

อาหารไทย

         อาหารไทย เป็นอาหารประจำของชนชาติไทย ที่มีการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต จนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ถือได้ว่าอาหารไทยเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่สำคัญของไทย ขณะที่อาหารพื้นบ้าน หมายถึง อาหารที่นิยมรับประทานกันเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งเป็นอาหารที่ทำขึ้นได้ง่าย โดยอาศัยพืชผักหรือเครื่องประกอบอาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่น มีการสืบทอดวิธีปรุงและการรับประทานต่อๆ กันมาจุดกำเนิดอาหารไทย
         อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาของ อาจารย์กอบแก้ว นาจพินิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เรื่องความเป็นมาของอาหารไทยยุคต่างๆ สรุปได้ดังนี้

สมัยสุโขทัย
         อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึก และวรรณคดี สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท ที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก โดยกินร่วมกับกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า “แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟง แตงและน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวตอกและน้ำผึ้ง ส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน
สมัยอยุธยา
         สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทย ได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก จากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่าย ยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง และคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิ มากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มากขึ้น คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง หรือทำเป็นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่นน้ำพริกกะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ ที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติ ต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่น โปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปนเปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายที่ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ และจากหลักฐานที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลาย อยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และกลมกลืนกลายเป็นอาหารไทยไป ในที่สุด

สมัยธนบุรี
         จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มที่ 2 ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธยา และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตน โกสินทร์ โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน

สมัยรัตนโกสินทร์
การ ศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่นัก ประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

         สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2394)
         อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรี แต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ นอกจากมีอาหารคาว อาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์ พระพุทธมณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม และมีอาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม
        
บท พระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงกล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวาน หลายชนิด ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต และให้ความสำคัญของรสชาติอาหารมากเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็นอาหารไทย
        
จาก บทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหารคาวหรือ กับข้าวและอาหารว่าง ส่วนทีเป็นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็นอาหารว่างคาว ได้แก่ หมูแนม ล่าเตียง หรุ่ม รังนก ส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็นส่วนใหญ่ มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิง ขนมลำเจียก และมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย ได้แก่ ซ่าหริ่ม บัวลอย เป็นต้น
        
นอก จากนี้ วรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้ง เรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน พบว่ามีความนิยมขนมจีนน้ำยา และมีการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมี ความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว และอาหารหวาน
         สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2394 - ปัจจุบัน)
         ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น กับข้าวอาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ ทั้งที่เป็นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบางชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วน ประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ตำรับดั้งเดิม และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหาร ไทย

อาหารไทยภาคต่างๆ         อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
         ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ น่าน) มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก
        
อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก
         อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
         ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่ แตกต่างหลากหลาย ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อาศัยลำน้ำสำคัญ เช่น ชี มูล สงครามโขง เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภูพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันไปด้วย แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านจะหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวัน เท่านั้น เช่น การหาปลาจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้ และหากวันใดจับปลาได้มากก็แปรรูปเป็นปลาร้าหรือปลาแห้งไว้บริโภคได้นาน ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อยมาก ชาวบ้านจะ “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญ
        
อาหารอีสานจะเน้นไปทางรสชาติที่เผ็ดร้อน
         อาหารภาคกลาง
         ลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคกลางมีที่มาต่างกันดังนี้
         -
ได้ รับอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันมาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทย ดัดแปลงมาจาก ขนมเบื้องญวน ขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
         - เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์ โดยเฉพาะอาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น ขนมช่อม่วง จ่ามงกุฎ หรุ่ม ลูกชุบ กระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ ผัก ผลไม้แกะสลัก
         - เป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ ต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม สะเดาน้ำปลาหวานก็ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วง หรือไข่เค็มที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแนมอีกหลายชนิด เช่น ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น
         - เป็นภาคที่มีอาหารว่าง และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ กระทงทอง ค้างคาวเผือก ปั้นขลิบนึ่ง ไส้กรอกปลาแนม ข้าวตังหน้าตั้ง

คติประจําใจ

ไม่มีใครมาลิขิตชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง
 If you can dream it, you can do it = ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้
ไม่มีอะไรยากเกินไป หากเราคิดว่าเราทำได้

 อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น
 ไม่มีคำว่าสาย ถ้าคิดจะเริ่มต้น 

อย่าพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ
อย่ากลัวล้มทั้งๆที่ยังไม่เริ่มต้น

 การหนีปัญหาเป็นสิ่งที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันย่อมดีกว่า
อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะหยุดอยู่กับที่
อุปสรรคคือความแข็งแกร่ง
ปัญหาคือการฝึกฝน

ความผิดพลาดคือการเรียน
 เวลาไม่เคยหวนกลับ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขวันวานได้
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด (คติคลาสสิกที่สุดและ ^^)
เก็บความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนสำหรับอนาคต
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็อย่าบอกว่าเวลาไม่เคยพอ
ทำวันนี้ให้มีความสุขก็พอ
อดีตไม่สำคัญ..ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด
สุดท้ายยย  '' Nobody Perfect '' ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ
UploadImage

ที่มา.http://webboard.yenta4.com/topic/205429

การดูแลสุขภาพตนเอง

การดูแลสุขภาพตนเอง
 
                โดย ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
                ใน เรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
 

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
                 เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

  • การ ดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
           
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม
            การ ที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
 
           

                โดย ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
                ใน เรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
 

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
                 เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

  • การ ดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
           
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม
            การ ที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
 

ผลไม้ลดน้ำหนัก

แอปเปิ้ล...ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก
  การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอมแต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีด เซียว ไม่สดชื่นอวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

     การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนักและการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็วและ นำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วนช่วยให้ร่างกาย รู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

     เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า"อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า"แอปเปิ้ล"แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบรสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพงและที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

  กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง
UploadImage

     แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลักซึ่งปริมาณ วิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวและความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัมมีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรีไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

      พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือแอปเปิ้ลจะให้พลังงาน ค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไปเพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือน้ำตาลฟรักโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิวอิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวานจึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

      เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า"เพคติน"ที่ มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหารทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่ายซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้และ ยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายป้องกันโรคคอเลสเตอร อลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

       นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีสแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิดคือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันสารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซีและสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ ที่รับประทานเป็นประจำ

   แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

       เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนักแต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อย คือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานินซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์นั่นเอง

  ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

       จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือกและจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อ แอปเปิ้ลดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผลโดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำจะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็ก น้อยซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิมและไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ล อย่างครบถ้วน

  กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

      ในแง่โภชนาการแอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูกโดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

       ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัสซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ที่มา.http://women.thaiza.com/detail_164183.html